
อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สหรัฐกำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่ประธานาธิบดีคนใหม่ซึ่งมาจากพรรคเดโมแครต ดังนั้นเราจะไปวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับโครงการ Work and Travel กัน
ด้านนโยบาย
เป็นที่ทราบกันดีว่านโยบายของพรรคเดโมแครตนั้น มีการสนับสนุนการเปิดรับชาวต่างชาติและ immigration มากกว่าพรรคริพับลิกันของทรัมป์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ Biden เคยเป็นรองประธานาธิบดีของโอบาม่า ก็มีแนวโน้มที่จะสานต่อนโยบายด้านต่างประเทศในอดีตให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง และหนึ่งในนโยบายหลักของการสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศของพรรคเดโมแครตก็คือ การสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสหรัฐนั่นเอง

ฮิลารี่ คลินตัน (รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐสมัยโอบาม่า/Biden) กล่าวสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยน
ย้อนกลับไปยุคโอบาม่า-Biden ก็ได้มีการส่งสารอย่างต่อเนื่องจากฮิลารี่ คลินตัน (ซึ่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น) ในการสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยน J-1 ทุกประเภท
การขอวีซ่า
สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวโครงการ Work and Travel จะทราบว่าหลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่งนั้น มีเสียงบ่นออกมาเป็นระยะๆ ว่า ขอวีซ่ายากขึ้น แม้ว่าสัดส่วนคนที่ผ่านวีซ่าสำหรับโครงการนี้จะยังอยู่ในอัตราที่สูงมากๆก็ตาม ทั้งนี้จากข้อมูลการอนุมัติวีซ่า J-1 ทั่วโลก 5 ปีย้อนหลังจะพบว่า มีการอนุมัติวีซ่าที่อยู่ในอัตราแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้นจึงเชื่อว่าแนวโน้มจะยังเป็นผลดีมากสำหรับโครงการ

ตัวเลขการอนุมัติวีซ่า J-1 ย้อนหลัง 5 ปี ทั่วโลกจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ
ด้านการปิดประเทศจาก Covid-19
ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิดมานั้น สหรัฐเป็นประเทศที่เปิดน่านฟ้าอย่างต่อเนื่อง และอนุญาตให้ผู้คนสามารถเดินทางเข้าออกได้อย่างเสรี (ตราบใดที่มีวีซ่าถูกต้อง)
ซึ่งหนึ่งในนโยบายหาเสียงที่สำคัญของ Biden คือการควบคุมสถานการณ์โควิด ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นอย่างหนักว่า Bidenจะปิดประเทศ และจะกระทบต่อการเดินทางในทุกระดับ อย่างไรก็ตาม Biden ได้ออกมากล่าวอย่างชัดเจนย้ำๆว่าเขาจะ “ไม่ปิดประเทศ” อย่างแน่นอน

Official ทวิตเตอร์ของ Biden เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2020
สรุปแล้ว…ผลการเลือกตั้งที่ออกมาถือเป็นมุมมองเชิงบวกและเป็นข่าวดีต่อโครงการ Work and Travel USA ซึ่งหากน้องๆคนไหนที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ